แต่คิดว่างานคือ Subset หนึ่งของชีวิตถ้าวันไหนไม่ได้ทำงานจะรู้สึกว่าวันนั้นตัวเองยังไม่ได้ทำอะไรบางอย่างที่มีคุณค่า
บทความนี้ผมอยากจะขอเขียนถึงเรื่อง “สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงาน 7 วัน” ในช่วงเวลา 3-4 เดือน ซึ่งผมรู้สึกว่ามันเติมเต็มชีวิตมาก ๆ รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าได้ทำประโยชน์อะไรบางอย่างจาก skills ที่ตัวเองมีให้กับคนอื่น วันนี้ผมอยากจะแชร์ประสบการณ์ของผมให้ได้ลองอ่านกันดูครับ ผมขอเกริ่นนำก่อนว่า ณ ตอนนี้ ผมทำอะไรอยู่
ในช่วงวันธรรมดาวันจันทร์ – วันศุกร์ : ผมทำงานประจำที่ IAM Consulting ดูแล Product ในทีม Swish วันเสาร์ : ผมมีโอกาสได้ทำ Digital Marketing ให้กับ Startup ที่หนึ่งเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพและฟิตเนส วันอาทิตย์ : คิดคอนเทนต์ ถ่ายวิดีโอ และตัดต่อวิดีโอ ให้กับเพจ IT influencer เจ้าหนึ่ง และมีงานแปลบ้างแล้วแต่ช่วงกับงานที่เข้ามา แต่ก็จะใช้เวลาวันอาทิตย์ทำสิ่งอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากงานหลักของวันธรรมดา และวันเสาร์
สิ่งที่ผมจะแชร์ต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นจากมุมมองของผม บางท่านอาจจะไม่เห็นด้วยกันทุกประการนะครับ
1) ผมเชื่อว่า “งาน” คือ Subset หนึ่งของชีวิตเท่านั้น และเราไม่จำเป็นต้องแยกงานกับการใช้ชีวิตออกจากกันโดยสิ้นเชิง ไม่จำเป็นต้องเริ่มงานแค่เวลาทำงาน 8:30 - 17:30 หรือในวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์จะไม่ทำอะไรที่เกี่ยวกับงานทั้งสิ้น การทำแบบนี้บางทีมันทำให้เราไม่มีความสุขในการทำงาน จะทำให้คอยคิดแต่ว่าเมื่อไหร่จะวันหยุดรู้สึกหดหู่ทุกครั้งที่วันจันทร์มาถึง มันคือการ Limit Creativity ของเรามากเกินไปจนจะกระทบต่อคุณภาพของงานที่เราทำ รวมถึงการคิดต่อยอดไปเรื่องอื่น ๆ ได้ไม่ค่อยดีเพราะถูกเฟรมไว้ว่าเวลาทำงาน จะต้องเป็นแค่ จันทร์ – ศุกร์ 8:30 - 17:30 ซึ่งบางครั้งไอเดียดี ๆ ที่สามารถนำมาปรับใช้กับการทำงานใดงานหนึ่ง มันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เราทำงานก็เป็นได้ การที่เราแยกวันทำงานกับวันหยุดออกโดยสิ้นเชิงทำให้เราจำกัดความคิดในกรอบเวลาเกินไป
2) การทำงานทุกวันทำให้ผมรู้สึกว่าเราเก่งขึ้นได้ทุกวันแม้ว่าจะแค่วันละ 0.5 - 1% เราก็สามารถบริหาร Productivity ตัวเองให้ดีขึ้นได้ ซึ่งการทำงานทั้ง 7 วันที่บอกนี้ไม่ใช่ให้ทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำทุกวันหรือทำทั้งวันทั้งคืนนะครับ แต่เป็นการโฟกัสแต่ละ task ตามช่วงเวลาให้ได้อย่างเหมาะสม จัดสรรเวลาให้กับสิ่งที่เราทำได้เต็มที่รู้ว่าช่วงไหนควรทุ่มเทช่วงไหนควรพักมันทำให้จัดลำดับสิ่งสำคัญรอบ ๆ ตัวได้ดีขึ้น เราสามารถเลือกทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์กับตัวเองได้ ไม่เสียเวลาไปกับสิ่งที่คิดว่าไม่น่าจะเกิดประโยชน์กับตัวเราทั้งทางร่างกายและจิตใจ ผมภูมิใจกับสกิลนี้ในตัวเองมาก (555 ขอขิงหน่อย)
3) การทำงาน 7 วันทำให้เรา appreciate กับช่วงเวลาพักหรือผ่อนคลายมากขึ้นเยอะและใช้เวลาว่างได้คุ้มค่ามากกว่าเดิมไม่ใช้เวลาว่างให้เปล่าประโยชน์ไปเหมือนแต่ก่อน เมื่อเราเห็นความสำคัญของเวลาว่างมากขึ้นเราจะสามารถเลือกทำกิจกรรมที่อยากทำจริง ๆ ได้ดีกว่าเดิมการตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ ก็เลือกตัดสินได้ดีขึ้น เพราะเมื่อเวลามีจำกัดมันจะเป็นการบังคับให้เราต้องเลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองไปโดยอัตโนมัติ
4) สภาพแวดล้อมในการทำงาน การทำงานในกับคนต่างบริษัทหรือต่างสถานที่ ทำให้เราเจอกลุ่มคนหลากหลายสังคมมากขึ้นได้เรียนรู้จากคนแต่ละกลุ่มทุกวัน ยอมรับฟังความเห็นและความหลากหลายมากขึ้น เช่น วันจันทร์ถึงศุกร์เราเจอกลุ่มคนในที่ทำงาน เมื่อไปหาลูกค้าก็ได้เจอกลุ่มคนต่างกันไปอีกแบบ ในช่วงวันเสาร์และอาทิตย์ก็จะเป็นคนอีกกลุ่ม ซึ่งแต่ละคนก็จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไปตามแต่ละมุมมองของแต่ละคน ทุกคนล้วนมีเป้าหมายที่ต่างกันมี expectation ที่ต่างกัน ผมรู้สึกว่าผมโชคดีมากที่ได้อยู่รายล้อมไปด้วยคนหลากหลายรูปแบบ ทำให้ผมได้เรียนรู้จากทุกคนจาก background มันทำให้ผมเป็นคนที่ Open to any idea และมี Emphatic Thinking แบบสุด ๆ ไปเลยเหมือนกัน และที่สำคัญผมสามารถนำวิธีการทำงานในรูปแบบต่าง ๆ ของแต่ละกลุ่มคนที่เจอมาปรับใช้ได้กับทุกวัน มันทำให้เราเก่งขึ้นแบบทีละนิดแต่พลิกแพลงอะไรได้ดีขึ้นเยอะ
5) ผมเรียนรู้ว่าการทำงานให้ดีให้มีคุณภาพจะต้องมี Flexibility มาก ๆ และต้องพร้อมที่จะรับมือกับสิ่งต่าง ๆ ได้ตลอดเวลาเพราะบางทีเราก็มีงานที่ต้องแก้ในช่วงเวลาที่นอกเหนือจากเวลาออฟฟิศหรือบางอย่างถ้าทำแล้วจะมีผลกระทบต่อคนอีกหลายคน ดังนั้นเราต้องรู้จักที่จะเรียนรู้ที่จะปรับตัวเองจากสถานการณ์ต่าง ๆ ให้ได้ คนเราไม่จำเป็นต้องทำงานแค่บนโต๊ะเปิดคอมเพียงอย่างเดียว เราอยู่ที่ไหนก็สามารถทำได้ถ้าจะทำ ซึ่งผลลัพธ์อีกอย่างก็คือเราจะมองหา tools ต่าง ๆ มาช่วยให้ตัวเราทำงานได้อย่างราบรื่นขึ้น เพราะฉะนั้นเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เป็นคนที่ยืดหยุ่น ใจเย็น ต่อรองได้ และคิดถึงผลลัพธ์ของการกระทำของเราออกมาก่อนเสมอ (ว่าสิ่งนั้นจะมีผลกระทบจากการที่เราทำหรือเปล่า)
อย่างไรก็ตามแม้ว่าผมจะทำงานทุกวันก็จริง แต่สิ่งที่ยกเว้นไม่ได้เลยที่ผมจะทำให้ครบสม่ำเสมอก็คือ
[1] ออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 วัน
[2] แต่ละวันกินน้ำให้ได้ 2-3 ลิตร
[3] กินวิตามินให้ครบ เพราะใช้ร่างกายและสมองหนัก เราก็ต้องดูแลมันหน่อย เดี๋ยวงอแง 555
อ่านมาถึงตรงนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะราบรื่นและลงตัวใช่มั้ยครับ แต่จริง ๆ แล้วผมก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังอยากทำอยู่แต่ก็ยังจัดสรรเวลาไม่ค่อยได้คาดหวังไว้ว่าจะทำให้ได้ดีขึ้นคือ
- อ่านหนังสือที่ซื้อมาให้หมดเพราะซื้อเพิ่มทุกเดือนซึ่งตอนนี้ดองไว้มากกว่า 20 เล่มแล้ว
- หาเวลาไปเที่ยวบ้าง ผมเป็นคนไปเที่ยวน้อยมากแทบจะไม่ไปเลยด้วยซ้ำเพราะเสียดายเวลาทำงาน
- นอนให้มากกว่านี้ หลายครั้งเลือกที่จะลุยงาน(เร่ง)ให้เสร็จและช่วงนี้เริ่มที่จะเห็นผลกระทบแล้วว่าร่างกายไม่สามารถ recover ได้เหมือนก่อน
- เล่นเกม ซื้อเกมมาดองแต่ไม่ค่อยได้เล่น
- หาเวลาลงคอร์สเพิ่ม skills อื่น ๆ ที่ดูเอาไว้ (ดูมานานแล้วแต่ไม่เริ่มซักที)
- เริ่มรู้สึกว่าความสัมพันธ์กับเพื่อนๆหรือคนรู้จัก (ที่นอกเหนือจากงาน) ถดถอยลง อันนี้แย่มากต้องรีบแก้ไข
ทั้งหมดนี้น่าจะตรงกับคำว่า Work-Life Integration ที่ผมได้ทำอยู่ ซึ่งตัวผมไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นคนบ้างาน แต่มันเหมือนเป็นความคิดของตัวผมเองอย่างหนึ่งที่ถ้าไม่ได้ทำอะไรที่มี value ต่อคนอื่นก็จะรู้สึกว่ายังไม่ได้ทำอะไรที่เติมเต็มต่อตัวเอง